อยากเริ่มลงทุนหุ้นกู้ ต้องดูอะไรบ้าง
หุ้นกู้12

อยากเริ่มลงทุนหุ้นกู้ ต้องดูอะไรบ้าง ?
เมื่อคนมีเงินเก็บเงินออมเผชิญภาวะเงินเฟ้อ นั้นก็คือการที่ราคาสินค้าและบริการปรับเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้เงินออมเหล่านั้นมูลค่าลดลงอย่างช้าๆ การลงทุนในตราสารหนี้เอกชนอย่าง “หุ้นกู้” ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอในรูปแบบผลตอบแทนที่เป็น “ดอกเบี้ย” ที่จ่ายให้แก่ผู้ถือครองเป็นงวดๆ อีกทั้ง
ตราสารหนี้เป็นการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นสามัญ และยังให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินกันธนาคาร แต่ก่อนที่เราจะเอาเงินเก็บเงินออมไปลงทุนในหุ้นกู้ ทาง 724 Wealth อยากให้นักลงทุนไม่ว่ามือใหม่หรือมือโปรพิจารณาทั้งบริษัทที่ออกหุ้นกู้ องค์ประกอบ เป็นแบบมีหรือไม่มีประกัน รวมถึงอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้กันก่อน เพราะถ้าเรากำไรดอกเบี้ย แต่เจ๊งเพราะเงินต้นหาย ก็ไม่คุ้มใช่ไหมล่ะครับ?
องค์ประกอบของหุ้นกู้
- ชื่อบริษัทผู้ออก และประเภทธุรกิจของผู้ออก ก่อนเราจะลงเดิมพันไพ่เรายังต้องรู้แต้มบนไพ่เราก่อน การลงทุนให้หุ้นกู้ก็เช่นกัน เราต้องรู้ว่าบริษัทที่เราจะลงทุนเขาดำเนินกิจการอะไร ผมไม่ได้จะบอกว่าการลงทุนในหุ้นกู้เหมือนการเสี่ยงโชคหรือการพนันนะ ผมหมายความว่าต้องศึกษาธุรกิจของบริษัทนั้น ว่ามีสภาพคล่องในกิจการไหม มีกำไรหรือเปล่า ที่สำคัญมีประวัติผิดนัดชำระหนี้หรือไม่
- ประเภทหุ้นกู้ หุ้นกู้มีหลายรูปแบบ เช่น หุ้นกู้มีประกัน หุ้นกู้ไม่มีประกัน หุ้นกู้ด้อยสิทธิ หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ เป็นต้น
- อัตราดอกเบี้ยที่ตราไว้ อัตราผลตอบแทนที่ผู้ออกจะต้องชำระให้กับผู้ถือหุ้นกู้ตามระยะเวลาที่กำหนด โดยจะมีสองประเภท คือ หุ้นกู้ที่จ่ายดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) และ หุ้นกู้ที่จ่ายดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate)
- มูลค่าที่ตราไว้หรือราคาพาร์ หรือมูลค่าหน้าหุ้นกู้หรือมูลค่าหน้าตั๋วหรือมูลค่าไถ่ถอน บอกถึงจำนวนเงินต้นที่นักลงทุนจะได้รับคืนเมื่อมีการไถ่ถอน ส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ที่ 1,000 บาท
- งวดการชำระดอกเบี้ย เป็นจำนวนครั้งของการชำระดอกเบี้ย โดยมักกำหนดเป็นจำนวนครั้งที่ชำระต่อปี เช่น 1 ครั้งต่อปี 2 ครั้งต่อปี หรือ 4 ครั้งต่อปี
- วันครบกำหนดไถ่ถอน เป็นวันที่ผู้ออกจะไถ่ถอนหุ้นกู้คืน คือ จ่ายเงินต้นตามมูลค่าที่ตราไว้ให้นักลงทุน มักจะกำหนดวันครบกำหนดไถ่ถอนเอาไว้ชัดเจน ส่วนใหญ่ผู้ออกจะจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยงวดสุดท้ายในวันครบไถ่ถอน
- วัตถุประสงค์การใช้เงิน เช่น เพื่อใช้ประกอบธุรกิจทั่วไปของกิจการ เพื่อซื้อที่ดินเพิ่มเติม เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อชำระหนี้จากการออกตราสารหนี้รอบก่อนหน้านี้ (Roll over) เป็นต้น
- ข้อสัญญา เป็นเงื่อนไขและข้อตกลงที่ผู้ออกจะต้องปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตามตลอดอายุของหุ้นกู้ เพื่อประโยชน์ของนักลงทุน เช่น ต้องดำรงอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าอัตราที่กำหนด เป็นต้น
อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating)
อันดับความน่าเชื่อถือของ เป็นการประเมินความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารหนี้ โดย “สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agencies)” ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยมี 2 แห่งคือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด และ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยแบ่งหุ้นกู้เป็น 3 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade)
กลุ่มหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่มีเรตติ้งในระดับน่าลงทุน อยู่ในระดับ AAA หมายถึง อันดับความน่าเชื่อถือสูงสุด มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ต่ำที่สุด ไปจนถึงระดับ BBB ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือปานกลาง มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ปานกลาง
2. กลุ่มระดับเก็งกำไร (Speculative Grade)
กลุ่มหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่มีเรตติ้งในระดับเก็งกำไร อยู่ในระดับ BB หมายถึง อันดับความน่าเชื่อถือต่ำ มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูง ไปจนถึงระดับ C ที่มีอันดับความน่าเชื่อต่ำสุด และมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูงที่สุด
นอกจากนั้นยังมีหุ้นกู้ระดับ D ที่มีสถานะเป็นหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นตามระยะเวลาที่กำหนด
3. กลุ่มไม่จัดอันดับเครดิต (Unrated Bond)
กลุ่มหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่ไม่ได้ส่งให้สถาบันจัดอันดับ หรือเป็นหุ้นกู้ที่ส่งให้สถาบันจัดอันดับแล้วไม่ได้รับการพิจารณา ทีนี้เมื่อไม่มีอันดับเครดิตบอก หุ้นกู้บริษัทเอกชนกลุ่มนี้จึงมักจะจูงใจให้คนมาลงทุนโดยเสนอผลตอบแทนที่สูง และแน่นอนว่าหุ้นกู้กลุ่มนี้มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูงด้วยเช่นกัน
แล้วหุ้นกู้แบบที่มีประกันกับแบบที่ไม่มีประกัน ต่างกันอย่างไร?
ต้องบอกก่อนว่า ประกันในที่นี้ไม่ได้แปลว่า เป็นการรับประกันผลตอบแทน, ประกันชีวิต, ประกันวินาศภัย
แต่อย่างใด ก็คือเป็น “หลักทรัพย์ประกัน” ในการออกหุ้นกู้นั้นเอง มีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้
หุ้นกู้มีประกัน (Secured Bond) คือ หุ้นกู้ที่ผู้ออกใช้สินทรัพย์ของตนเป็นหลักค้ำประกัน สินทรัพย์ที่ใช้เป็นประกัน เช่น ที่ดิน อาคาร สังหาริมทรัพย์ เป็นต้น หุ้นกู้ประเภทนี้มักมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เป็นตัวแทนในการตรวจสอบมูลค่าหลักประกัน รวมถึงการฟ้องร้องในกรณีที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไข
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท XY มีการระดมทุนเมื่อครั้งจัดตั้งบริษัทมูลค่า 500 ล้านบาท โดยมีการออกหุ้นกู้มีประกัน มูลค่า 300 ล้านบาท โดยมีที่ดิน และอาคาร เป็นหลักประกัน และหุ้นกู้ไม่มีประกันและด้อยสิทธิ มูลค่า 200 ล้านบาท ภายหลัง บริษัท XY ประสบปัญหาล้มละลายทำให้ต้องทำการขายที่ดิน และอาคาร ทั้งหมดที่มีเพื่อชำระหนี้และคืนให้ส่วนของเจ้าของ ได้เงินทั้งหมด 400 ล้านบาท เงินจำนวน 400 ล้านบาทนี้จะนำมาแบ่งตามลำดับ โดยยังผู้ถือหุ้นกู้มีประกัน 300 ล้านบาท (ชำระได้ครบ 100%) ผู้ถือหุ้นกู้ไม่มีประกันและด้อยสิทธิ 100 ล้านบาท(ส่วนที่เหลือ)
หุ้นกู้ไม่มีประกัน (Unsecured Bond) คือ หุ้นกู้ที่ไม่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกันในการออกหุ้นกู้ โอกาสในการชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ยจึงขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือ กับความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทผู้ออกเท่านั้น
รายได้ดอกเบี้ยต้องเสียภาษี
ดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนหุ้นกู้ ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับเงินได้ประเภทอื่นๆ โดยจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% และมีสิทธิที่จะไม่นำรายได้ส่วนนี้ไปคำนวณรวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี ณ สิ้นปี
รายละเอียดที่นำเสนอมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนหุ้นกู้เอกชน นักลงทุนหรือผู้ที่สนใจควรมีการพิจารณาความเสี่ยงให้รอบด้านและติดตามข้อมูลข่าวสารประกอบก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะอันดับเครดิตของตราสารหนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ หากสภาวะเศรษฐกิจหรือการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้เห็นโอกาสและความเสี่ยงของหุ้นกู้ที่เราจะลงทุนได้ละเอียดมากขึ้น
และสำหรับใครที่อยากเริ่มลงทุนในหุ้นสามารถติดต่อมายังทีมงาน 724 Wealth เพื่อให้เราช่วยอำนวยความสะดวกได้ที่ Line ID : @724Wealth หรือคลิ๊ก https://lin.ee/N1IQLH5
อ้างอิง : https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/458-tsi-bonds-good-returns-risk-awareness
โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน