724 Wealth

ปัญญาหาตลาดแตก เมื่อมีกำไรหุ้น เราควรตัดสินใจขายหุ้นอย่างไร?

ปัญญาหาตลาดแตก..เมื่อมีกำไรหุ้น “เราควรตัดสินใจขายหุ้นตอนไหน ?”

หลังจากที่เราเข้าซื้อหุ้นแล้วราคาขึ้นจนมีกำไร จริง ๆ ก็อยากจะบอกแบบกำปั้นทุบดินแหละว่าถ้าหากคุณกำไรหุ้นก็ “ขายตรงไหนก็ได้ที่คุณสบายใจ” แต่ทีนี้ถ้าจะเขียนให้มีหลักการหน่อยที่นอกเหนือจากการได้รับปันผลหรือการได้วอร์แรนท์เป็นผลตอบแทนจากการลงทุน สิ่งสำคัญการทำกำไรจากส่วนต่างราคาในตลาดหุ้นขึ้นบางทีก็อยู่กับการตัดสินใจสำคัญอย่าง “การหาจังหวะในการขายเพื่อทำกำไร” เพราะถ้าหากขายหุ้นเร็วเกินไปก็อาจพลาดโอกาสที่จะทำกำไรได้มากขึ้น (รันเทรนด์ขาขึ้นไม่สุด/ขายหมู) ในทางตรงกันข้ามหากปล่อยไว้ในพอร์ตนานเกินไปกำไรที่สะสมมาก็อาจลดลงหรือไม่ก็เท่าทุน เมื่อเป็นเช่นนั้นถ้าไม่อยากกำไรทิพย์หรือกำไรแค่ในกระจก เหล่านักลงทุนจึงมักอาศัยเหตุผลประกอบกับกลยุทธ์ที่รอบคอบในการตัดสินใจทั้งการซื้อและการขาย ดังนั้นการตัดสินใจขายหุ้นจึงมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงพอ ๆ กับการตัดสินใจซื้อ เพราะปัจจัยด้านอารมณ์และจิตวิทยาของมนุษย์ อย่างความโลภ-ความกลัว
ถ้าอย่างนั้นหากราคาหุ้นขึ้นมาถึงเป้าหมายควรตัดสินใจโดยยึดตามแผนที่วางไว้อาจเป็นวิธีที่ดีกว่า ซึ่งในบทความนี้ 724 Wealth จะมาบอกว่าหากเรามีกำไรหุ้นในพอร์ตลงทุนควรตัดสินใจขายหุ้นจากเหตุผลหรือกลยุทธ์ใดบ้าง จุดประสงค์เพื่อไว้สำหรับผู้อ่านที่ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะซื้อแล้วถือหุ้นนั้นไว้ไปตลอดชีวิต โดยแบ่งเป็นการขายจากปัจจัยเทคนิค และการขายโดยปัจจัยพื้นฐาน ในกรณีที่มูลค่าหุ้นขึ้นมาจนมีกำไร ด้วยบางกลยุทธ์เบื้องต้นดังนี้

ขายโดยใช้ปัจจัยทางเทคนิค

กราฟราคาก่อนหน้านี้เป็นขาขึ้นมาตลอด..แล้วมีแท่งเทียนแดงที่มี Volume มากกว่าปกติ
สัญญาณขายจากแท่งเทียน 1 วัน ที่บอกว่าในวันนั้นอาจมีคนที่มีหุ้นเยอะขายหุ้นออกมา หรือเป็นการขายหุ้นจากคนจำนวนมาก เพื่อทำกำไร อาจเป็นสัญญาณกลับตัวจากขาขึ้นเปลี่ยนเป็นขาลง

สัญญาณ Bearish Divergence
เป็นสัญญาณขัดแย้งระหว่างกราฟราคาและอินดิเคเตอร์ เช่น อินดิเคเตอร์ RSI หรือ MACD บอกว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังจะอ่อนกำลังลงและมีโอกาสกลับตัวเป็นขาลง สังเกตได้จากกราฟราคาที่ทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) แต่ตัวอินดิเคเตอร์กลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High) อาจเป็นสัญญาณกลับตัวจากขาขึ้นเปลี่ยนเป็นขาลง ใช้ได้ทั้งกราฟระดับ 1 ชั่วโมง (1H) 1 วัน (1D) ไปจนถึง 1 เดือน (1M)

อินดิเคเตอร์ MACD ตัดลงต่ำกว่าศูนย์
MACD เป็นอินดิเคเตอร์ใช้จับการเปลี่ยนแปลงทิศทางของแนวโน้มราคา สัญญาณขายเกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD ตัดกับเส้นศูนย์ (0) จากด้านบนลงมา เป็นสัญญาณบอกถึงโมเมนตัมขาลงที่แข็งแกร่งขึ้น และเป็นสัญญาณกลับตัวจากขาขึ้นเปลี่ยนเป็นขาลง ใช้ได้ทั้งกราฟระดับ 1 ชั่วโมง (1H) 1 วัน (1D) ไปจนถึง 1 เดือน (1M)


ขายโดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน

ส่วนแบ่งการตลาดลดลงเพราะคู่แข่งใหม่หรือเทคโนโลยีแทนที่
บริษัทที่เราเคยลงทุนอยู่ เคยมี รายได้หรือ ลูกค้าส่วนใหญ่ในตลาด แต่เมื่อเวลาผ่านไปอำนาจการผูกขาดหรือความได้เปรียบเริ่มหายไป เพราะมีสินค้าใหม่ หรือสินค้าทดแทนเข้ามาแย่งลูกค้าไป เป็นมุมมองประกอบในการขายหุ้นออกจากพอร์ตลงทุนเช่นกัน
ตัวอย่าง : บริษัท Nokia เคยครองตลาดโทรศัพท์มือถือ แต่กลับถูกแทนที่โดยเทคโนโลยีของสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้คนสนใจสมาร์ทโฟนมากกว่า ผลคือส่วนแบ่งการตลาดของ Nokia หายไปอย่างรวดเร็วส่งผลทำให้ยอดขาย และกำไรลดลงต่อเนื่อง

กำไรสุทธิเริ่มลดลง หรือกำไรติดลบ
กำไรสุทธิ (Net Profit) คือตัวเลขกำไรหลังหักต้นทุน ค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ย และภาษีแล้ว ถ้าบริษัทกำไรสุทธิลดลงต่อเนื่อง หรือติดลบ บ่งบอกว่าแนวโน้มการทำกำไรของบริษัทอ่อนแอลง แม้รายได้อาจยังเติบโตอยู่ แต่ถ้าหากต้นทุนสูงขึ้นหรือการแข่งขันรุนแรงจนเก็บกำไรได้น้อยลงอาจใช้เป็นสัญญาณการขายหุ้นเช่นกัน

พฤติกรรมผิดปกติของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร
แม้ว่าจะไม่มีตัวเลขบ่งชี้ชัดเจน แต่ก็อาจเป็นปัจจัยลบอย่างใหญ่หลวงต่อราคาหุ้น เช่น
- มีพฤติการณ์ตกแต่งงบการเงิน หรือสมคบกับฝ่ายบริหารเพื่อแสดงงบการเงินบริษัทที่ดีเกินจริง
- กระบวนการออกหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ส่งผลให้กลุ่มผู้ถือหุ้นบางกลุ่ม หรือผู้ถือหุ้นคนเดียว
  มีสัดส่วนถือหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

บริษัทเริ่มมีสัญญาณที่ไม่ดี อาจส่งผลกับราคาหุ้น
- มีการผิดนัดชำระหนี้ ในส่วนของตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน หรือหุ้นกู้ อาจเป็นผลต่อเนื่องมาจาก
  ธุรกิจมีปัญหา เช่น สภาพคล่องไม่เพียงพอกระแสเงินสดติดลบ
- หุ้นของบริษัทถูกขึ้นเครื่องหมาย SP (Trading Suspension) เป็นเครื่องหมายที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ
  ขึ้นไว้กับหลักทรัพย์เพื่อห้ามซื้อขายเป็นการชั่วคราว สาเหตุการขึ้นเครื่องหมาย SP มีหลายกรณี
  เช่น บริษัทไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ทันที ฝ่าฝืนกฎหมายหลักทรัพย์ บริษัทไม่นำส่งงบการเงิน
  หลักทรัพย์อยู่ระหว่าง พิจารณาเพิกถอน หรือมีเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการซื้อขาย

ท้ายสุด..Finally
เมื่อหุ้นที่อยู่ในพอร์ตลงทุนเริ่มมูลค่าเพิ่มขึ้นจนเกิดกำไร อย่ามัวแต่นั่งเปรมสุข หรือเอาแค่แคปหน้าจอลงสตอรี่ในแพลตฟอร์มโซเชี่ยลหล่ะ หาจังหวะ Take Action ตามกลยุทธ์เพื่อเก็บกำไรบางส่วนไว้ด้วยเพราะอย่าลืมว่าไม่มีหุ้น หรือตราสารใดที่สร้างผลตอบแทนไปตลอดกาล หากกล่าวถึงส่วนประกอบหลักของการลงทุน คงหนีไม่พ้นความเสี่ยงที่ทำให้ตราสารนั้นผันผวน ขึ้นไปสูงสักวันอาจตกลงที่ต่ำ เป็นวัฏจักรของการลงทุน หากมีข้อสังเกตบางอย่างคล้ายกับที่ผมเขียนมา ก็แบ่งขายเก็บเป็นกำไรเงินสดบางส่วนเข้าพอร์ตลงทุน ท่านจะได้มีเงินสดในพอร์ตไว้เตรียมลงทุนในหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนในอนาคต ถือเป็นการลงทุนต่อ (Reinvestment) นั้นเอง

แหล่งอ้างอิง
Investopedia : https://www.investopedia.com/articles/stocks/07/when_to_sell.asp
SET Investnow : https://www.setinvestnow.com/th/glossary/trading-suspension?lang=en