บทความ

ฝนตก น้ำท่วมรถ จะเคลมประกันได้หรือไม่ ?

ฝนตก น้ำท่วมรถ จะเคลมประกันได้หรือไม่ ?

ช่วงหน้าฝนตกหนักแทบทุกวันแบบนี้ หลาย ๆ คนคงต้องเจอปัญหาน้ำท่วมขัง ไม่ว่าจะตอนที่จอดรถเฉย ๆ หรือขับรถอยู่บนถนนก็ตาม และคงจะอดห่วงรถของเราไม่ได้ว่าจะมีปัญหาอะไรตามมาบ้าง รวมถึงสิ่งที่ทำให้หลาย ๆคนกังวลก็คือ หากเจอเหตุการณ์น้ำท่วมแบบนี้ประกันรถยนต์ที่เราซื้อติดไว้จะคุ้มครองหรือไม่ เคลมได้หรือเปล่า วันนี้ 724 market มีคำตอบมาให้คุณแล้ว !

อย่างแรกคือต้องตรวจสอบกรมธรรม์รถยนต์ของท่าน ว่าเป็นประเภทใด ?

- ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 (คุ้มครอง)

- ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2+ / 3+ (เฉพาะบางแพ็กเกจเท่านั้น)

 

รถยนต์ที่เกิดความเสียหายจากน้ำท่วมรถนั้น มีหลายรูปแบบ ซึ่งประกันรถยนต์จะให้ความคุ้มครองที่ต่างกันออกไป โดยแบ่งตามกรณี

  1. ขณะจอดรถอยู่และน้ำท่วม

  • ในกรณีนี้เกิดจากการจอดรถเอาไว้ แล้วเกิดน้ำหลากและเคลื่อนย้ายรถหนีไม่ทัน จนถูกน้ำท่วมรถได้รับความเสียหายบางส่วน กรณีนี้ประกันรถยนต์จะรับเคลมประกันรถให้ตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกินทุนประกันภัย
  • ในกรณีที่เกิดน้ำท่วมรถจนเกิดความเสียหายโดยสิ้นเชิง และบริษัทประกันฯ ประเมินแล้วว่าไม่คุ้มที่จะซ่อม จะทำการจ่ายเป็นเงินชดเชย 70-80 % ของทุนประกันแทน
  1. รถติดขณะฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วม

หากขับรถออกไปข้างนอกแล้วรถติดในขณะที่มีฝนตกหนัก จนเกิดน้ำท่วมในระดับที่ส่งผลทำให้ตัวรถได้รับความเสียหาย ในกรณีนี้ประกันรถยนต์จะรับเคลมประกันรถให้ตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกินทุนประกันภัย

  1. ขับรถลุยน้ำท่วม

กรณีขับรถลุยน้ำท่วมขังหรือขับรถไปในเส้นทางที่ภาครัฐมีการประกาศแจ้งเตือนแล้วว่า ถนนเส้นนั้นมีความเสี่ยงภัยน้ำท่วม แต่ยังขับเข้าไปจนเกิดความเสียหายกับตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นห้องเครื่อง ระบบไฟเสียหายหรือเครื่องยนต์ดับ ในกรณีแบบนี้ทางบริษัทประกันฯ จะไม่รับเคลมประกันรถให้ หรือหากทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ไว้ ทางบริษัทประกันฯ จะช่วยชดเชยค่าเสียหายบางส่วน (ขึ้นอยู่กับกรณี)

ขั้นตอนการเคลมประกันรถ กรณีน้ำท่วมรถ

  • เมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมรถจนได้รับความเสียหาย และตรวจสอบกรมธรรม์ประกันรถยนต์ที่ทำเอาไว้แล้วว่าอยู่ในความคุ้มครองจากบริษัทประกันฯ ก็สามารถทำเรื่องขอเคลมประกันรถกับบริษัทประกันฯ ได้เลย ดังนี้
  1. ติดต่อบริษัทประกันฯ ที่ทำประกันรถยนต์เอาไว้
  2. รอเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันฯ มาตรวจสอบเพื่อประเมินความเสียหาย
  3. เลือกอู่หรือศูนย์ซ่อมเพื่อทำการประเมินราคา
  4. รอการอนุมัติจากบริษัทประกันภัยที่ทำอยู่
  5. เมื่อเอกสารผ่านการอนุมัติ ก็สามารถนำรถส่งไปเข้าที่อู่หรือศูนย์ซ่อมที่เลือกไว้ได้เลย
เรามีประกันรถยนต์ให้เลือกหลายหลาย คลิกเลย https://insure.724.co.th/